แนะนำชุมชน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
แนะนำชุมชน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
(ศูนย์วัฒนธรรม 3 ชนเผ่า เผ่าม้ง เผ่าเย้า เผ้าลีซอ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม)
คำขวัญจังหวัดเพชรบูรณ์ เมืองมะขามหวาน อุทยานน้ำหนาว ศรีเทพเมืองเก่า
เขาค้ออนุสรณ์ นครพ่อขุนผาเมือง
คำขวัญอำเภอเขาค้อ ดินแดนแห่งขุนเขา ลำเนาพนาไพร
งามจับใจทะเลหมอก พันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาว เรื่องราววีรชนผู้กล้า
ตระการตาพระตำหนักเขาค้อ
ที่อยู่ที่ว่าการอำเภอ หมู่ที่ 1 ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ 67270 พิกัด 16°38′0″N 100°59′54″E
หมายเลขโทรศัพท์ 0-5672-8044,
0-5672-8066
หมายเลขโทรสาร 0-5672-8066
จากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย
จึงทำให้เกิดสงครามก่อการร้ายขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.
2508 โดยเฉพาะเขตพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัด คือ
เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และเลย ซึ่งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพิจารณาแล้ว
เห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม
สภาพทั่วไปเป็นป่าเขาสลับซับซ้อนยากที่รัฐบาลจะปราบปรามได้โดยใช้เขาค้อเป็นศูนย์กลาง
ต่อมากองทัพบกได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่3 รับผิดชอบในการต้อสู้กับผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์
โดยจัดตั้งกองบัญชาการผสม 394 ขึ้นที่สนามบิน อำเภอหล่มสัก
จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2511 ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของชุดควบคุมที่33
เมื่อประมาณปี พ.ศ.2514-2515 กองทัพภาคที่3 ได้เริ่มสร้างถนนแยกจากสายพิษณุโลก-หล่มสัก
ตามบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 100 บ้านแคมป์สนไปยังบ้านเล่าลือและในปี
พ.ศ. 2517
ได้มีแนวคิดที่จะลดความกดดันขัดขวางคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท)
โดยสร้างถนนอีกหลายสาย บ้านนางั่ว-สะเดาะพง เพื่อเชื่อมกับถนนสายแรกที่บ้านสะเดาะพงแต่ได้รับการขัดขวางต่อต้านอย่างรุงแรง
จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่าย
ข้อมูลทางภูมิศาสตร์
ที่ว่าการอำเภอเขาค้อตั้งอยู่ในบริเวณบ้านกนกงาม(บ้านเขาค้อ) ติดถนนสาย แคมป์สน-สะเดาะพง ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 21
มีพื้นที่ประมาณ 1333 ตารางกิโลเมตร
อาณาเขต
-ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
-ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
-ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอหล่มสัก และอำเภอเมืองเพชรบูรณ์
-ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
สภาพภูมิประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและเนินเขาใหญ่น้อย บางแห่งสูงชัน
มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 500-1400 เมตร
ผู้นำชุมชน เขาค้อ
นายปริญญา ขจรไพร พัฒนาการอำเภอเขาค้อ
นางสาวลัดดาวัลย์ ปัญญาส่าน นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ รับผิดชอบตำบล หนองแม่นา, ริมสีม่วง
นางสาวจารุวรรณ พุทธหะ นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ รับผิดชอบตำบล แคมป์สน, ทุ่งสมอ
นายศราวุฒิ มงคลพิภาค นักวิชาการพัฒนาชุมชนปฏิบัติการ รับผิดชอบตำบล เข็กน้อย, สะเดาะพง
นางสาวขวัญชีวา ชำนาญพันธ์ุ นักวิชาการพัฒนาชุมชนปฏิบัติการ รับผิดชอบตำบล เขาค้อ
นางสาวสุภารัตน์ สร้อยมี เจ้าหน้าที่งานกองทุนหมู่บ้านฯ (กทบ.)
นางสาวเสาวภา บัวใหญ่ เจ้าหน้าที่งานกองทุนหมู่บ้านฯ (กทบ.)
สถานศึกษา/ชื่อสถานที่
โรงเรียนอนุบาลเขาค้อ(เจริญทองนิ่มวิทยา) ซ.2196 ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ 67270
โรงเรียนร่มเกล้าเขาค้อเพชรบูรณ์ ซ.2196 ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ 67270
โรงเรียนบ้านสะเดาะพงมิตรภาพที่ 29 ซ.2258 ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ 67270
โรงเรียนบ้านป่าแดง ซ.2325 ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ 67270
อาชีพหลัก
1.เกษตรกร
2. รับจ้าง
3. ทำกิจการรีสอร์ท, ที่พัก
อาชีพเสริม
ๅ 1. ทำของที่ระลึก
2. รับจ้าง (กรณีว่างเว้นจากการทำเกษตรกร)
- 3.งานฝีมือ ประดิษฐ์ประดอย เย็บปัก ถัก ร้อย (ชุดชนเผ่า)
4.เกษตรกร
จำนวนศาสนา
1. ศาสนาพุทธ
2. ศาสนาคริสต์
3. นับถือผี ปู่ ยา ตายาย
3
ด้านทรัพยากร
1. อุทยานแห่งชาติเขาค้อ
2. อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
3.น้ำตกศรีดิษฐ์
4.สวนสัตว์เปิดเขาค้อ
ผลผลิตทางการเกษตรกรที่สำคัญ ได้แก่
1. มะระหวาน
2. กะทกรก (เสาวรส)
3. กระชายดำ
ชื่อแหล่งน้ำที่สำคัญ ได้แก่ ลำน้ำเข็ก
จำนวนประชากรใน ตำบลเขาค้อ
จำนวนหลังคาเรือน : 1,363 หลังคาเรือน
จำนวนประชากร : 5,474 คน จำนวนผู้สูงอายุ : 558 คน
จำนวนเด็กแรกเกิด ถึง 6 ปี : 436 คน จำนวนผู้สูงอายุ ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง : 168 คน
จำนวนสตรีตั้งครรภ์ : 75 คน จำนวนผู้สูงอายุ ที่ช่วยตนเองไม่ได้ : 2 คน
จำนวนสตรีอายุ 35 ปี ขึ้นไป : 1,110 คน จำนวนผู้พิการ : 107 คน
แบ่งเขตการปกครอง เป็น 13 หมู่บ้าน
ประกอบด้วยหมู่บ้าน หมู่1 บ้านดอกจำปี ,หมู่2 บ้านสิมารักษ์ ,หมู่3 บ้านกองเนียม ,หมู่4 บ้านเล่ากี่ ,หมู่4 บ้านปัญญาดี ,หมู่5 บ้านรัตนัย , หมู่6 บ้านใจทน , หมู่7 บ้านปานสุขุม ,หมู่8 บ้านเล่าลือ ,หมู่9 บ้านเพชรดำ ,หมู่10 บ้านฟองเพชร ,หมู่11 บ้านส่งคุ้ม ,หมู่12 บ้านห้วยน้ำขาว
สาธารณูปโภค
จำนวนครัวเรือนที่มีไฟฟ้าใช้ในเขต อบต. 1,760 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ
90.00 ของพื้นที่
การเดินทาง
1. ทางหลวงหมายเลข 2196 จาก ต.ทุ่งสมอ-เขาค้อ
2. ทางหลวงหมายเลข 2196 จาก ต.สะเคาะพง-เขาค้อ
3. ทางหลวงหมายเลข 2325 จาก ต.หนองแม่นา-เขาค้อ
ผลิตภัณฑ์ : น้ำเสาวรส

วันที่ (7 ก.พ.58) ที่บ้านเพชรดำ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ นายอิระวัชร์ จันทรประเสริฐ ประธานที่ปรึกษาอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นประธานพิธีเปิดศูนย์วัฒนธรรม 3 ชนเผ่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้จัดงบประมาณให้กับศูนย์พัฒนาสังคม หน่วยที่ 38 ทำการปรับปรุงอาคารหน่วยพัฒนาสังคมบนพื้นที่สูง บ้านเพชรดำ 1,788,000 บาท เป็นสถานที่รวบรวมวิถีชีวิต 3 ชนเผ่า ประกอบด้วย เผ่าลีซอ เผ่าม้ง เผ่าเย้า ได้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม วิถีชนเผ่าให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว
สำหรับชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอเขาค้อ ทั้ง 3 ชนเผ่า มีกิจกรรมวิถีชีวิตที่น่าสนใจ เผ่าม้ง จะมีการจัดเทศกาลกินข้าวใหม่ ปลายเดือนตุลาคมของทุกปี และเทศกาลปีใหม่ม้ง ตรงกับขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ชนเผ่าเมี่ยน หรือเย้า จัดเทศกาลปีใหม่ตรงกับวันตรุษจีน มีการให้ไข่แดงในวันปีใหม่ การไหว้บรรพบุรุษ ตรงกับวันสาร์ทจีน ชนเผ่าลีซู จัดเทศกาลปีใหม่ตรงกับวันตรุษจีน ไหว้บรรพบุรุษ ตรงกับวันสาร์ทจีน ทำบุญฮวงซุ้ย ตรงกับวันเซ้งเม้ง
ศูนย์วัฒนธรรม 3 ชนเผ่า ที่บ้านเพชรดำแห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน ภายในมีการรวบรวมวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม เครื่องแต่งกายชุดชนเผ่า การทอผ้า การย้อมผ้า บ้านตัวอย่างของ 3 ชนเผ่า นอกจากนี้ได้จัดภูมิทัศน์ให้นักท่องเที่ยวได้ชมธรรมชาติที่งดงามของเขาค้อ อีกด้วย
เผ่าลีซอ
ประเพณีปีใหม่ชาวไทยภูเขา เผ่าลีซอ - ช่วงตรุษจีน
ที่ บ้านเพชรดำ ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ เป็นการแสดงวัฒนธรรม ประเพณีของชาวไทยภูเขา เผ่าสีซอ
วัฒนธรรมประเพณีการท่องเที่ยว/การละเล่น
ชื่อ ลีซอ
ความเป็นมา
ถิ่นเดิมของชนเผ่าลีซอ อยู่แถบต้นแม่น้ำสาละวินในประเทศจีน ต่อมาได้อพยพเข้าไปอาศัยอยู่ทางทิศเหนือของประเทศสหภาพพม่า และเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแถบแคว้นเชียงตุง และเข้ามาอาศัยอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ ปัจจุบันมีประมาณ ๔,๐๐๐ คนตั้งถิ่นฐานอยู่มากในเขตอำเภอปางมะผ้า อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน และอำเภอปาย
วิถีชีวิต
ชาวลีซอมีความเป็นอยู่เรียบง่าย ประกอบอาชีพทำไร่ ปลูกข้าวและพืชพันธุ์ต่าง ๆ ไว้เลี้ยงครอบครัว ปกครองโดยผู้อาวุโส สืบสกุลทางพ่อ แต่ละหมู่บ้านมีวงศ์หลายสายสกุล นับถือศาสนาพุทธและถือผี เทศกาลที่สำคัญ คือ เทศกาลขึ้นปีใหม่ เรียกว่า “กินวอ” ตรงกับเทศกาลตรุษจีน มีการเลี้ยงเหล้าข้าวโพด เลี้ยงขนมปาตี่ เลี้ยงฉลองด้วยอาหารต่าง ๆ ที่ปรุงจากเนื้อหมู วันสำคัญทุกคนจะไปรวมกันที่บ้านหมอผีประจำหมู่บ้าน มีการประกอบพิธีเข้าทรงเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้าย กลางคืนมีการเต้นรำฉลองเรียกว่า “เต้นจะคึ” เช้าวันขึ้นปีใหม่ มีการยิงปืนและมีการเซ่นบูชาผีประจำหมู่บ้าน
การปรับปรนในสังคมปัจจุบัน
ชาวลีซอปัจจุบันใช้ชีวิตเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป แต่ยังคงยึดถือประเพณีและการแต่งกายแบบเดิม
เผ่าลีซอ
ชาวลีซอมีความเป็นอยู่เรียบง่าย ประกอบอาชีพทำไร่ ปลูกข้าวและพืชพันธุ์ต่าง ๆ ไว้เลี้ยงครอบครัว ปกครองโดยผู้อาวุโส สืบสกุลทางพ่อ แต่ละหมู่บ้านมีวงศ์หลายสายสกุล นับถือศาสนาพุทธและถือผี เทศกาลที่สำคัญ คือ เทศกาลขึ้นปีใหม่ เรียกว่า “กินวอ” ตรงกับเทศกาลตรุษจีน มีการเลี้ยงเหล้าข้าวโพด เลี้ยงขนมปาตี่ เลี้ยงฉลองด้วยอาหารต่าง ๆ ที่ปรุงจากเนื้อหมู วันสำคัญทุกคนจะไปรวมกันที่บ้านหมอผีประจำหมู่บ้าน มีการประกอบพิธีเข้าทรงเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้าย กลางคืนมีการเต้นรำฉลองเรียกว่า “เต้นจะคึ” เช้าวันขึ้นปีใหม่ มีการยิงปืนและมีการเซ่นบูชาผีประจำหมู่บ้าน
การปรับปรนในสังคมปัจจุบัน
ชาวลีซอปัจจุบันใช้ชีวิตเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป แต่ยังคงยึดถือประเพณีและการแต่งกายแบบเดิม
เผ่าลีซอ
ประวัติความเป็นมา
ลีซอหรืออีกชื่อหนึ่งว่าลีซู ลีซอมีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ต้นแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำโขง ได้อพยพไปอยู่ที่ ยูนานในจีน ต่อมาได้อพยพเข้าในพม่า และเข้ามาอยู่ทางแถบเหนือของประเทศไทย เมื่อประมาณ ๖๐ ปีมานี้ ประชากรลีซอที่อยู่ในประเทศจีนมีราว ๕๐๐,๐๐๐ คน ในประเทศพม่า ๒๕๐,๐๐๐ คน และในประเทศไทย ๓๒,๐๐๐ คน ส่วนมากแล้วชาวลีซออาศัยอยู่ในบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายและเพชรบูรณ์
ลีซอหรืออีกชื่อหนึ่งว่าลีซู ลีซอมีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ต้นแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำโขง ได้อพยพไปอยู่ที่ ยูนานในจีน ต่อมาได้อพยพเข้าในพม่า และเข้ามาอยู่ทางแถบเหนือของประเทศไทย เมื่อประมาณ ๖๐ ปีมานี้ ประชากรลีซอที่อยู่ในประเทศจีนมีราว ๕๐๐,๐๐๐ คน ในประเทศพม่า ๒๕๐,๐๐๐ คน และในประเทศไทย ๓๒,๐๐๐ คน ส่วนมากแล้วชาวลีซออาศัยอยู่ในบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายและเพชรบูรณ์
การแต่งกายของเผ่าลีซอ
เสื้อผ้าสตรีมีลักษณะคล้ายเสื้อคลุม ผ่าเฉียงจากคอลงไปถึงเข่าแทนกระโปรง ส่วนใหญ่ใช้สีฟ้าสดใส ช่วงแขนที่ยาวลงมาถึงข้อมือขลิบผ้าสีดำที่ริมชาย ตรงคอและไหล่ขลิบด้วยสีแดงชมพู คาดเป็นลายสวยงาม ที่เอวใช้ผ้าสีดำคาดเป็นเข็มขัด ส่วนชั้นในสวมกางเกงขายาวไว้เสมอ ตรงขอบกางเกงขลิบด้วยสีดำหรือสีม่วงและลายอื่น ๆ เสื้อลีซอหญิงมักใช้สีที่ดูเด่นเสมอ ส่วนเครื่องแต่งกายบุรุษสวมเสื้อคอกลมสีดำ ผ่าอกด้านขวาทับด้านซ้ายเป็นแนวเฉียงปักลวดลายสีขาวที่หน้าอก และประดับด้วยกระดุมสีเงินตามไหล่และคอ กางเกงขายาวเป้ากว้างสีดำ มีแถบตรงปลายขาสีฟ้า
เสื้อผ้าสตรีมีลักษณะคล้ายเสื้อคลุม ผ่าเฉียงจากคอลงไปถึงเข่าแทนกระโปรง ส่วนใหญ่ใช้สีฟ้าสดใส ช่วงแขนที่ยาวลงมาถึงข้อมือขลิบผ้าสีดำที่ริมชาย ตรงคอและไหล่ขลิบด้วยสีแดงชมพู คาดเป็นลายสวยงาม ที่เอวใช้ผ้าสีดำคาดเป็นเข็มขัด ส่วนชั้นในสวมกางเกงขายาวไว้เสมอ ตรงขอบกางเกงขลิบด้วยสีดำหรือสีม่วงและลายอื่น ๆ เสื้อลีซอหญิงมักใช้สีที่ดูเด่นเสมอ ส่วนเครื่องแต่งกายบุรุษสวมเสื้อคอกลมสีดำ ผ่าอกด้านขวาทับด้านซ้ายเป็นแนวเฉียงปักลวดลายสีขาวที่หน้าอก และประดับด้วยกระดุมสีเงินตามไหล่และคอ กางเกงขายาวเป้ากว้างสีดำ มีแถบตรงปลายขาสีฟ้า
ภาษาของเผ่าลีซอ
ภาษาลีซออยู่ในกลุ่มเดียวกันกับภาษามูเซอและอีก้อ ซึ่งกลุ่มนี้รวมเรียกว่า “โลโล” (Loloish) ภาษากลุ่มโลโลมีความสัมพันธ์กับกลุ่มภาษาพม่า (Burmish) จึงรวมเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นเรียกว่า กลุ่มพม่า-โลโล (Burmese-Lolo) และกลุ่มภาษาพม่า-โลโลมีความสัมพันธ์กับภาษาธิเบต (Tibetan) จึงรวมกันเข้าเป็นตระกูลภาษาใหญ่ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) อีกทีหนึ่งนอกจากนี้ นักภาษาศาสตร์ส่วนหนึ่งมีความเห็นว่า ตระกูลภาษาใหญ่ทิเบต-พม่ามีความสัมพันธ์กับภาษาตระกูลใหญ่จีน (Sinitic) จึงรวมกันเข้าเป็นตระกูลภาษาใหญ่ที่เรียกว่า จีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) ด้วยภาษาลีซออยู่คนละตระกูลภาษากับภาษาไทย จึงแตกต่างจากภาษาไทยมาก ลักษณะภาษาลีซอได้แก่ทำนองเสียง ประโยคลีซอที่มีข้อความเดียวกัน ถ้าเป็นประโยคคำถาม จะใช้เสียงตกตรงท้ายประโยค แต่ถ้าเป็นประโยคอื่น ๆ อาทิ ประโยคบอกเล่า, ประโยคปฏิเสธ ฯลฯ ทำนองเสียงจะราบเรียบ อาทิ ประโยคคำถาม, ประโยคชนิดอื่นๆ
ภาษาลีซออยู่ในกลุ่มเดียวกันกับภาษามูเซอและอีก้อ ซึ่งกลุ่มนี้รวมเรียกว่า “โลโล” (Loloish) ภาษากลุ่มโลโลมีความสัมพันธ์กับกลุ่มภาษาพม่า (Burmish) จึงรวมเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นเรียกว่า กลุ่มพม่า-โลโล (Burmese-Lolo) และกลุ่มภาษาพม่า-โลโลมีความสัมพันธ์กับภาษาธิเบต (Tibetan) จึงรวมกันเข้าเป็นตระกูลภาษาใหญ่ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) อีกทีหนึ่งนอกจากนี้ นักภาษาศาสตร์ส่วนหนึ่งมีความเห็นว่า ตระกูลภาษาใหญ่ทิเบต-พม่ามีความสัมพันธ์กับภาษาตระกูลใหญ่จีน (Sinitic) จึงรวมกันเข้าเป็นตระกูลภาษาใหญ่ที่เรียกว่า จีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) ด้วยภาษาลีซออยู่คนละตระกูลภาษากับภาษาไทย จึงแตกต่างจากภาษาไทยมาก ลักษณะภาษาลีซอได้แก่ทำนองเสียง ประโยคลีซอที่มีข้อความเดียวกัน ถ้าเป็นประโยคคำถาม จะใช้เสียงตกตรงท้ายประโยค แต่ถ้าเป็นประโยคอื่น ๆ อาทิ ประโยคบอกเล่า, ประโยคปฏิเสธ ฯลฯ ทำนองเสียงจะราบเรียบ อาทิ ประโยคคำถาม, ประโยคชนิดอื่นๆ
ประเพณีและวัฒนธรรม
ประเพณีการเกี้ยวสาว กล่าวการ่าความสุขที่ถือว่าสุดยอดของลูกผู้ชายชาวลีซอ คือการดื่มเหล้า กินอาหารและได้เกี้ยวสาว ดังคำโคลงบทหนึ่งของลีซอว่า “ ผีเผ่อต่อ ซาเหย่ต่อ จ่าจํะ ตูบี่ขะ” ( ดื่มสุราจิบน้ำชาสรรหาอาหารร่วมรักสาวสะคราญ ) ดังนั้นในหมู่บ้านของลีซอจึงไม่ค่อยมีใครครองโสดได้นานถึง ๓๐ ปีเลย หนุ่มสาวลีซออายุ ๑๔- ๑๖ ปี จะเริ่มรู้จักการเกี้ยวพาราสีและแต่งงานกันแล้ว การเกี้ยวสาวของหนุ่มลีซอมักจะเริ่มขึ้นที่บริเวณครกกระเดื่องตำข้าวกลางลานบ้าน หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว โดยหญิงสาวลีซอจะสะพายกระบุงข้าวมาตำรอคอยชายหนุ่ม เสียงสากกระทบกับครกไม้ดังแว่วในหมู่บ้าน ทำให้จิตใจของหนุ่มลีซอกระสันหาสาวหยิบเอาซือบือ หรือซึงคู่ใจมาดีดเป็นเพลงเดินตรงไปหาสาวทันที ประเพณีลีซอ มีข้อห้ามมิให้เกี้ยวสาวภายในบริเวณบ้าน เพราะเป็นการผิดผีบ้านผีเรือน หรือหากมีพ่อแม่ หรือพี่ชาย หรือญาติของฝ่ายหญิงที่เป็นผู้ชายตลอดจนผู้อาวุโสอยู่ในบริเวณนั้น ก็ห้ามเกี้ยวพาราสีหญิงสาวโดยเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติไม่เคารพกัน นอกเสียจากว่าญาติทางฝ่ายหญิงสาวจะเป็นผู้หญิงเท่านั้น จึงจะเกี้ยวสาวได้การนัดพบพูดคุยกันของหนุ่มสาวลีซอ เมื่อมีโอกาสก็จะนัดพบกัน ณ สถานที่ใกล้หมู่บ้านหรือบริเวณครกตำข้าว หรือเวลาไปไร่ ไปร้องเพลงโต้ตอบกันเป็นกลุ่มหนุ่มลีซอมักกล่าวเสมอว่า “งัวะ อะ สี หมะ หยัวะ งัวะ งี มา เถ่ มา หยัวะ” ( ผมไม่มีอะไรอื่นนอกจากหัวใจดวงเดียวเท่านั้น ) การเกี้ยวพาราสีกัน หากหญิงสาวไม่พึงใจผู้ชายจะจับต้องหรือล่วงเกินไม่ได้ แต่หากพึงใจต่อกันความสัมพันธ์ก็อาจจะไปถึงขั้นได้เสียกันก่อน ซึ่งลีซอก็จะไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย หรือละอายต่อสังคมแต่ประการใด
ประเพณีการเกี้ยวสาว กล่าวการ่าความสุขที่ถือว่าสุดยอดของลูกผู้ชายชาวลีซอ คือการดื่มเหล้า กินอาหารและได้เกี้ยวสาว ดังคำโคลงบทหนึ่งของลีซอว่า “ ผีเผ่อต่อ ซาเหย่ต่อ จ่าจํะ ตูบี่ขะ” ( ดื่มสุราจิบน้ำชาสรรหาอาหารร่วมรักสาวสะคราญ ) ดังนั้นในหมู่บ้านของลีซอจึงไม่ค่อยมีใครครองโสดได้นานถึง ๓๐ ปีเลย หนุ่มสาวลีซออายุ ๑๔- ๑๖ ปี จะเริ่มรู้จักการเกี้ยวพาราสีและแต่งงานกันแล้ว การเกี้ยวสาวของหนุ่มลีซอมักจะเริ่มขึ้นที่บริเวณครกกระเดื่องตำข้าวกลางลานบ้าน หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว โดยหญิงสาวลีซอจะสะพายกระบุงข้าวมาตำรอคอยชายหนุ่ม เสียงสากกระทบกับครกไม้ดังแว่วในหมู่บ้าน ทำให้จิตใจของหนุ่มลีซอกระสันหาสาวหยิบเอาซือบือ หรือซึงคู่ใจมาดีดเป็นเพลงเดินตรงไปหาสาวทันที ประเพณีลีซอ มีข้อห้ามมิให้เกี้ยวสาวภายในบริเวณบ้าน เพราะเป็นการผิดผีบ้านผีเรือน หรือหากมีพ่อแม่ หรือพี่ชาย หรือญาติของฝ่ายหญิงที่เป็นผู้ชายตลอดจนผู้อาวุโสอยู่ในบริเวณนั้น ก็ห้ามเกี้ยวพาราสีหญิงสาวโดยเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติไม่เคารพกัน นอกเสียจากว่าญาติทางฝ่ายหญิงสาวจะเป็นผู้หญิงเท่านั้น จึงจะเกี้ยวสาวได้การนัดพบพูดคุยกันของหนุ่มสาวลีซอ เมื่อมีโอกาสก็จะนัดพบกัน ณ สถานที่ใกล้หมู่บ้านหรือบริเวณครกตำข้าว หรือเวลาไปไร่ ไปร้องเพลงโต้ตอบกันเป็นกลุ่มหนุ่มลีซอมักกล่าวเสมอว่า “งัวะ อะ สี หมะ หยัวะ งัวะ งี มา เถ่ มา หยัวะ” ( ผมไม่มีอะไรอื่นนอกจากหัวใจดวงเดียวเท่านั้น ) การเกี้ยวพาราสีกัน หากหญิงสาวไม่พึงใจผู้ชายจะจับต้องหรือล่วงเกินไม่ได้ แต่หากพึงใจต่อกันความสัมพันธ์ก็อาจจะไปถึงขั้นได้เสียกันก่อน ซึ่งลีซอก็จะไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย หรือละอายต่อสังคมแต่ประการใด
วัฒนธรรมการแต่งกายของชนภูเขาเผ่าลีซอ
ลีซอได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่แต่งกายมีสีสันสดใสและหลากสีมากที่สุดในบรรดาชาวเขาทั้งหมดความกล้าในการตัดสินใจและความเป็นอิสระชนสะท้อน ออกมาให้เห็นจากการใช้สีตัดกันอย่างรุนแรงในการเครื่องแต่งกาย
ชาวลีซอเรียกตนเองว่า “ลีซู” (คำว่า “ลี” มาจาก “อิ๊หลี่” แปลว่า จารีต ประเพณีหรือวัฒนธรรม “ซู” แปลว่า “คน” )มีความหมายว่ากลุ่มชนที่มีขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี และมีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ดังนั้นหากมองในแง่วัฒนธรรมและบุคลิกภาพแล้ว อาจกล่าวได้ว่าชาวลีซอ เป็นกลุ่มชนที่รักอิสระ มีระบบจัดการความสัมพันธ์ทางสังคมที่ยืดหยุ่น เป็นนักจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะไม่ยอมรับสิ่งใหม่โดยไม่ผ่านการเลือกสรรและจะไม่ปฏิเสธวัฒนธรรมที่แตกต่าง โดยไม่แยกแยะด้วยเหตุนี้เองทำให้ชาวลีซอมีศักยภาพในการปรับตัวเข้ากับความ เปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็สามารถธำรงรักษาอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์เอาไว้ได้เช่นกัน
ชาวลีซอเรียกตนเองว่า “ลีซู” (คำว่า “ลี” มาจาก “อิ๊หลี่” แปลว่า จารีต ประเพณีหรือวัฒนธรรม “ซู” แปลว่า “คน” )มีความหมายว่ากลุ่มชนที่มีขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี และมีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ดังนั้นหากมองในแง่วัฒนธรรมและบุคลิกภาพแล้ว อาจกล่าวได้ว่าชาวลีซอ เป็นกลุ่มชนที่รักอิสระ มีระบบจัดการความสัมพันธ์ทางสังคมที่ยืดหยุ่น เป็นนักจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะไม่ยอมรับสิ่งใหม่โดยไม่ผ่านการเลือกสรรและจะไม่ปฏิเสธวัฒนธรรมที่แตกต่าง โดยไม่แยกแยะด้วยเหตุนี้เองทำให้ชาวลีซอมีศักยภาพในการปรับตัวเข้ากับความ เปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็สามารถธำรงรักษาอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์เอาไว้ได้เช่นกัน
ความเป็นมา
แต่เดิมชาวลีซอมีถิ่นฐานอยู่บริเวณต้นน้ำสาละวินและแม่น้ำโขงทางตอนเหนือของธิเบต และทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ชาวลีซอได้อพยพเข้าสู่เขตประเทศไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2462 – 2464 จากหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้เมืองเชียงตุงของประเทศเมียนมาร์ มาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนครั้งแรกอยู่ที่บ้านดอยช้าง อำเภอแม่รวย จังหวัดเชียงราย
ลีซอแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ลีซอลาย กับลีซอดำ ชาวลีซอที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นลีซอลาย ส่วนลีซอดำอยู่ในประเทศจีน เมียนมาร์ อินเดีย และไทย ในประเทศไทยมีชุมชนลีซออยู่ 9 จังหวัดคือ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา ตาก กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ สุโขทัย และลำปาง มีจำนวนประชากรทั้งหมดราว 30940 คน
แต่เดิมชาวลีซอมีถิ่นฐานอยู่บริเวณต้นน้ำสาละวินและแม่น้ำโขงทางตอนเหนือของธิเบต และทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ชาวลีซอได้อพยพเข้าสู่เขตประเทศไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2462 – 2464 จากหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้เมืองเชียงตุงของประเทศเมียนมาร์ มาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนครั้งแรกอยู่ที่บ้านดอยช้าง อำเภอแม่รวย จังหวัดเชียงราย
ลีซอแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ลีซอลาย กับลีซอดำ ชาวลีซอที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นลีซอลาย ส่วนลีซอดำอยู่ในประเทศจีน เมียนมาร์ อินเดีย และไทย ในประเทศไทยมีชุมชนลีซออยู่ 9 จังหวัดคือ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา ตาก กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ สุโขทัย และลำปาง มีจำนวนประชากรทั้งหมดราว 30940 คน
การแต่งกาย
ลักษณะการแต่งกายของหญิงลีซอมีความโดดเด่นมาก ตั้งแต่ผ้าโพกหัว ที่เป็นทรงป้านกลม ตกแต่งด้วยลูกปัดและพู่ประดับหลากสี เวลาสวมใส่จะส่งให้ใบหน้าของผู้หญิงดูโดดเด่น สวยงาม เสื้อตัวยาวตัดเย็บด้วยผ้าสีสดใสตกแต่งด้วยริ้วผ้าเล็กๆ สลับสี สวมทับ กางเกงขายาว ครึ่งน่องสีดำ มีผ้าคาดเอวที่เมื่อคาดแล้วจะทิ้งชายไปทางด้านหลังเป็นพู่หางม้า ทำจากผ้าหลากสีเย็บเป็นไส้ไก่เส้นเล็กๆ จำนวนกว่า 100 เส้นขึ้นไปเมื่อเคลื่อนไหว พู่จะกวักแกว่งไปด้วยดูน่ารักสวยงามมากและสวมสนับแข้งสีสด
ลักษณะการแต่งกายของหญิงลีซอมีความโดดเด่นมาก ตั้งแต่ผ้าโพกหัว ที่เป็นทรงป้านกลม ตกแต่งด้วยลูกปัดและพู่ประดับหลากสี เวลาสวมใส่จะส่งให้ใบหน้าของผู้หญิงดูโดดเด่น สวยงาม เสื้อตัวยาวตัดเย็บด้วยผ้าสีสดใสตกแต่งด้วยริ้วผ้าเล็กๆ สลับสี สวมทับ กางเกงขายาว ครึ่งน่องสีดำ มีผ้าคาดเอวที่เมื่อคาดแล้วจะทิ้งชายไปทางด้านหลังเป็นพู่หางม้า ทำจากผ้าหลากสีเย็บเป็นไส้ไก่เส้นเล็กๆ จำนวนกว่า 100 เส้นขึ้นไปเมื่อเคลื่อนไหว พู่จะกวักแกว่งไปด้วยดูน่ารักสวยงามมากและสวมสนับแข้งสีสด
หญิงสาวและหญิงสูงอายุแต่งกายคล้ายกันต่างกันเฉพาะการใช้สี ซึ่งในกลุ่มหญิงสูงอายุจะใช้สีขรึมเข้มกว่า และผ้าโพกหัวก็ใช้ผ้าสีดำโพกพันไว้ ไม่มีลูกปัดและพู่ประดับ
ผู้ชายสวมกางเกงสีสด และสาวเสื้อสีดำตกแต่งด้วยเม็ดเงินคาดเอว ประดับด้วยพู่หางม้าทำจากผ้าเย็บเป็นไส้ไก่สลับสี เวลาคาดเอวจะทิ้งชายลงมาทางด้านหน้า เด็กๆ ยังคงสวมใส่ชุดประจำเผ่าให้เห็นโดยทั่วไป
การผลิต
หน้าที่ผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็นของฝ่ายหญิง เช่นเดียวกับชาวเขาเผ่าอื่นๆวัสดุที่ใช้ผลิตปัจจุบันซื้อผ้าทอและด้ายย้อมสีสำเร็จรูปจากโรงงานที่มีขาย ตามร้านเจ้าประจำ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของลีซอแต่ละหมู่บ้าน
หน้าที่ผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็นของฝ่ายหญิง เช่นเดียวกับชาวเขาเผ่าอื่นๆวัสดุที่ใช้ผลิตปัจจุบันซื้อผ้าทอและด้ายย้อมสีสำเร็จรูปจากโรงงานที่มีขาย ตามร้านเจ้าประจำ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของลีซอแต่ละหมู่บ้าน
ลักษณะการทอผ้าของลีซอ เหมือนกลุ่ม มูเซอคือ เป็นแบบห้างหลัง หรือ สายคาดหลัง (Back strap) การทอผ้าเพื่อเย็บสวมใส่ไม่มี ปรากฏในชุมชนลีซอของประเทศไทย ปัจจุบันมี เพียงการทอผ้าหน้าแคบขนาดเล็กๆ เพื่อนำมาเย็บ ประกอบเป็นย่ามเท่านั้น
การตกแต่ง
ลักษณะการตกแต่งเสื้อผ้า ส่วนใหญ่เน้นประดับด้วยแถบริ้วผ้าสลับสี ผ้าตัดปะและเม็ดโลหะเงินมีการตกแต่งด้วยลายปักบ้างเล็กน้อย บริเวณช่วงต่อระหว่างผ้าคาดเอวกับพู่ห้อย และด้านข้างสายย่ามช่วงต่อกับพู่ที่จะทิ้งชายลงมาทั้ง 2 ด้านเท่านั้น
การตกแต่ง
ลักษณะการตกแต่งเสื้อผ้า ส่วนใหญ่เน้นประดับด้วยแถบริ้วผ้าสลับสี ผ้าตัดปะและเม็ดโลหะเงินมีการตกแต่งด้วยลายปักบ้างเล็กน้อย บริเวณช่วงต่อระหว่างผ้าคาดเอวกับพู่ห้อย และด้านข้างสายย่ามช่วงต่อกับพู่ที่จะทิ้งชายลงมาทั้ง 2 ด้านเท่านั้น
เผ่าม้ง
ประเพณีปีใหม่ชาวไทยเผ่าม้ง - 26 ธันวาคม-1 มกราคม
ที่ ตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ มีกิจกรรมประเพณีปีใหม่ชาวเขา เผ่าม้งการละเล่นพื้นบ้าน การประกวดธิดาม้ง
ที่ ตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ มีกิจกรรมประเพณีปีใหม่ชาวเขา เผ่าม้งการละเล่นพื้นบ้าน การประกวดธิดาม้ง

ราษฎรชาวไทยภูเขาในสองหมู่บ้านของ จ.เพชรบูรณ์ ได้แก่ บ้านเข็กน้อย ต.เข็กน้อย อ.เขาค้อ และ บ้านภูทับเบิก ต.วังบาล อ.หล่มเก่า ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีราษฎรชาวเขาเผ่าม้งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ได้เตรียมจัดงานเทศกาลปีใหม่ม้งขึ้นตั้งแต่วันที่ 21-29 ธันวาคมนี้ โดยชาวม้งทั้งหมดจะร่วมกันเฉลิมฉลอง พร้อมแต่งกายในชุดประจำเผ่าอย่างสวยงาม
นอกจากนี้ จัดให้มีการละเล่นพื้นบ้าน อาทิ การโยนลูกช่วง การเป่าแคน การยิงหน้าไม้ และการตีลูกข่าง ทั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของชนเผ่าชาวม้งเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวอีกด้วย
นายสุวิทย์ แสนยากุล นายก อบต.เข็กน้อย กล่าวว่า เดิมการจัดงานประเพณีปีใหม่ม้งจัดขึ้นในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ของทุกปี แต่ปัจจุบันชาวม้งบางส่วนยังเก็บเกี่ยวไม่เสร็จสิ้น ทำให้ต้องเลื่อนระยะมาจัดงานในวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 2 แทน ซึ่งตรงกับวันเวลาดังกล่าว ส่วนกิจกรรมนอกจากแต่ละครอบครัวจะทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษและกราบขอขมาบุพการีแล้ว ยังมีการละเล่น อาทิ การโยนลูกช่วงเพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง จึงทำให้หนุ่มสาวชาวม้งเหล่านี้ต้องแต่งกายให้สวยงาม เพื่อดึงดูดความสนใจในเพศตรงกันข้าม
นายสุวิทย์ แสนยากุล นายก อบต.เข็กน้อย กล่าวว่า เดิมการจัดงานประเพณีปีใหม่ม้งจัดขึ้นในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ของทุกปี แต่ปัจจุบันชาวม้งบางส่วนยังเก็บเกี่ยวไม่เสร็จสิ้น ทำให้ต้องเลื่อนระยะมาจัดงานในวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 2 แทน ซึ่งตรงกับวันเวลาดังกล่าว ส่วนกิจกรรมนอกจากแต่ละครอบครัวจะทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษและกราบขอขมาบุพการีแล้ว ยังมีการละเล่น อาทิ การโยนลูกช่วงเพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง จึงทำให้หนุ่มสาวชาวม้งเหล่านี้ต้องแต่งกายให้สวยงาม เพื่อดึงดูดความสนใจในเพศตรงกันข้าม
กระโปรงชนเผ่าม้งที่เราเห็นตัวหนึ่งนี้ หากเป็นกระโปรงที่เป็นงานหัตถกรรมล้วนๆ แล้วนั้น จะใช้เวลามากพอสมควรเลยทีเดียวละค่ะ กว่าจะทำให้สวยงามและมีเอกลักษณ์อย่างที่เราเห็นๆ กัน เนื่องจากในการทำกระโปรงเพียงหนึ่งตัวนี้ ลวดลายสไตล์ม้ง ที่เราเห็นนั้นมาจากงานฝีมือที่มีความหลากหลาย ในกระโปรงหนึ่งตัวนั้น เราจะพบทั้งลวดลายที่มาจากการเขียนเทียนแล้วนำไปย้อมสี ลวดลายจากการปักซึ่งชาวม้งเองก็จะมีลวดลายที่เป็นโดดเด่นอีกทั้งยังมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองด้วย มีการชุนด้วยผ้าสีต่างๆ ให้เกิดลวดลายบนผืนผ้า เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการจับจีบกระโปรงด้วยวิธีเย็บมืออีกด้วย มาเที่ยวชุมชนบ้านเข็กน้อย อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

การแสดงทางวัฒนธรรมโดยชนเผ่าม้งกับแคนม้งอันมีเอกลักษณ์
ชมการสาธิตจักสาน เครื่องใช้สไตล์ม้ง มีทั้งกระบุงที่มีสายสะพายและเก้าอีเล็กๆ ที่มีลวดลายแบบม้ง

ชมการสาธิตการจับจีบกระโปรงแบบชนเผ่าม้ง ด้วยการจับจีบและเย็บด้วยได้ทิ้งเอาไว้นานเป็นเดือน พอถึงเวลาก็นำด้ายที่มัดไว้ออก กระโปรงก็จะเป็นจีบสวยงาม

ชมสาธิตการปักผ้าแบบชนเผ่าม้ง



ชมสาธิตการเขียนลายเทียนบนผ้า

ขนมปิ้งแบบม้ง หรือที่เรียกว่า ข้าวยั้ว โดยจะนำข้าวเหนียวที่หุงสุกใหม่ๆ มาบดจนเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนจะปั้นให้แบนๆ ห่อด้วยใบตองและนำไปย่างไฟร้อนๆ กินคู่กับน้ำตาลอ้อย ยิ่งกินตอนร้อนๆ


เผ่าเย้า
ชาวเมี่ยน (เย้า) ถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศจีนแถบแม่น้ำแยงซี “เมี่ยน” เป็นชื่อที่ทางราชการตั้งให้ หรือบางครั้งจะเรียกว่า “อิ้วเมี่ยน” แปลว่า มนุษย์ ได้รับการจัดให้อยู่ในเชื้อชาติ มองโกลอยด์ คือ อยู่ในตระกูลจีนธิเบต บรรพชนได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ราบรอบทะเลสาปตงถิง แถบแม่น้ำแยงซี ยอมอ่อนน้อมให้ชนชาติผู้ปกครองรัฐ และไม่ยินยอมอยู่ภายใต้การบังคับกดขี่ของรัฐ จึงได้ทำการอพยพเข้าไปในป่าลึกบนภูเขาสูง ได้ตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านด้วยมือของเขาเอง เพื่อปกป้องเสรีภาพจึงถูกขนานนามว่า ม่อ เย้า ซึ่ง เหยา ซี เหลียน ได้บันทึกไว้ในเหลียงซูต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง คำเรียกนี้ี้ถูกยกเลิกไปเหลือแต่คำว่า "เย้า" เท่านั้น จุดเด่นของชนเผ่าเมี่ยน (เย้า) บ้านปางค่าใต้ ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ได้แก่ พาสปอร์ตที่ยาวที่สุดในโลก (ปัจจุบันในพื้นที่โครงการหลวงมีชาวเมี่ยนอาศัยอยู่ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า อำเภอปง จังหวัดพะเยา)
ภาษา
ภาษาของเมี่ยนจัดอยู่ในภาษาตระกุลจีนธิเบต สาขาแม้ว-เย้า ภาษาพูดของเมี่ยนพัฒนาจากกลุ่มภาษาหนึ่งของชาวหมาน และแพร่กระจายไปสู่เขตต่างๆ ตามท้องถิ่นที่มีชาวเมี่ยนอพยพไปถึง ภาษาเมี่ยนได้กระจายไปทั่วเขตมณฑลกวางสี กวางตุ้ง กุยจิ๋ว ฮูหนาน จากการติดต่อกลับชนเผ่าอื่นๆ เป็นระยะเวลานาน จึงทำให้ภาษาในปัจจุบันผ่านการพัฒณากลายเป็นภาษาถิ่นย่อย 3 ภาษา คือ ภาษาเมี่ยน ภาษาปูนู และภาษาลักจา สำหรับภาษาเขียนของเมี่ยน มักจะมีความเห็นโดยทั่วไปว่าชาวเมี่ยนมีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน จึงได้ยืมภาษาฮั่นมาใช้ ชาวเมี่ยนที่รู้ภาษามีไม่มากนัก แต่ภาษาฮั่นก็ยังมีบทบาท และอิทธิพลต่อชนชาติเมี่ยนมาก
วิถีชีวิต และลักษณะบ้านเรือน
ชุมชนของเมี่ยนในอดีตนั้นพึ่งตนเองค่อนข้างสูง ทั้งในด้านการดำรงชีวิต และการจัดการภายในชุมชน จะมีตำแหน่งฝ่ายต่างๆ ที่มีความสำคัญ และเอื้อต่อการจัดการในชุมชน ครอบครัวของเมี่ยนเป็นครอบครัวที่ขยาย มีสมาชิกในครอบครัวมาก เพราะถือว่าเป็นแรงงานสำคัญ หัวหน้าครอบครัว คือ ผู้ชายอาวุโสสูงสุด อาจเป็นปู่ หรือพ่อ โดยมีบุตรชายคนโตเป็นผู้สืบสกุลคนต่อไป
วิถีชิวิตด้านการละเล่น
ในชีวิตประจำวันของเมี่ยน การละเล่นที่แสดงออกถึงความรื่นเริงตามประเพณี และเทศกาลต่างๆ กล่าวได้ว่าในปัจจุบันแทบจะไม่มีโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการละเล่นในวัยผู้ใหญ่หรือวัยหนุ่มสาว ส่วนการละเล่นของเด็กๆ มีเพียงไม่กี่อย่าง เช่น การเล่นไล่จับกัน ซึ่งเล่นรวมกันทั้งเด็กชายและหญิง การเล่นลูกข่าง การเดินไม้โกงกาง เมี่ยนไม่มีการละเล่นตามประเพณีประจำเทศกาลที่มีรูปแบบชัดเจน โดยเฉพาะการละเล่นของเมี่ยน มักเป็นการละเล่นที่อาศัยเล่นในโอกาสของงานพิธีกรรมต่างๆ และก็มักจะเป็นพิธีแต่งงานกับวันปีใหม่เท่านั้น ที่สามารถแสดงการละเล่นได้อย่างสนุกสนานเต็มที่ การละเล่นของเมี่ยน ได้แก่
หนังสติ๊ก (ถางกง): ทำมาจากไม้ เมี่ยนจะนำไม้ประมาณเท่ากับแขนที่ปลายแยกออกจากกัน นำมาแต่งให้สวยและพอกับมือจับ เอาหนังยางมามัดให้สามารถดึงแล้วยิงได้ วิธีการเล่น นำก้อนหินมาวางตรงที่เป็นยาง ดึงแล้วปล่อยใช่เล่นยิงแข่งกัน
กระบอกสูบน้ำ (เฮ้าดงแฟะ): เป็นการละเล่นอีกอย่างหนึ่งที่ทำมาจากไม้ไผ่ ใช้ไม้ไผ่ที่ค่อนข้างแก่ทำเป็นตัวกระบอก และทำที่สูบโดยการตัดรองเท้าแตะเก่าๆ หรือเอายางมามัดเป็นวงกลมเสีบบกับที่สูบ การเล่นจะใช้กระบอกสูบน้ำขึ้นมาแล้วก็ดันน้ำออกใส่กับเพื่อนๆ ที่เล่นด้วย จะเล่นในช่วงฤดูร้อน
ขาหยั่งเชื่อก (ม่าเกะฮาง): เป็นขาหยั่งที่ทำมาจากเชือก การละเล่นก็จะนำไม้ไผ่มาตัดเหลือไว้แค่ข้อต่อที่กั้นระหว่างป้องเท่านั้น เจาะรูแล้วนำเชือกสอดทั้ง 2 ข้าง การเล่นก็เหมือนกับขาหยั่งธรรมดาเพียงแค่ใช้ขาเหนีบที่เชือกเท่านั้นเอง
ลูกแก้ว (ปู้สี่): ลูกแก้วนี้ถือว่าเป็นของเล่นอีกอย่างหนึ่งของเด็กเมี่ยน เมื่อถึงช่วงฤดูกาลหนึ่ง เด็กเมี่ยนก็จะเปลี่ยนของเล่นไปตามฤดูกาลนั้น การเล่นลูกแก้วนี้ก็ถือว่าเป็นอีกอย่างหนึ่งของการละเล่น การเล่นลูกแก้วนี้จะนำลูกแก้วมาตีแข่งกันโดยใช้มือเล่น จะมีหลุมอยู่หลุมหนึ่งเพื่อการเล่น
ประเพณีการแต่งงาน
การเลือกคู่ครอง (หล่อเอ๊าโกว่): เมื่อเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว อายุประมาณ 15 ปีขึ้นไป ในการเลือกคู่ครองนั้น เผ่าเมี่ยนฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายเข้าหาฝ่ายหญิง หนุ่มสาวเมี่ยนมีอิสระในการเลือกคู่ครอง หนุ่มอาจจะเข้าถึงห้องนอนเพียงคืนเดียว หรือไปมาหาสู่อยู่เรื่อยๆ ถ้าทางฝ่ายสาวไม่ขัดข้องก็ย่อมได้เสรี ในการเลือกคู่ของเมี่ยน มีขอบเขตอยู่เพียง 2 กรณีเท่านั้น คือ ควรแต่งกับคนต่างแซ่ หรือบางทีคนแซ่เดียวกัน ถ้าชอบพอกันก็สามารถอนุโรมได้ไม่เข้มงวดมากนัก แต่ที่เข้มงวด คือ ดวงของหนุ่มสาวทั้งสองต้องสมพงษ์กัน โดยทั่วไปแล้วพี่ควรจะแต่งก่อนน้อง หากน้องจะทำการแต่งก่อนพี่ ก็ต้องจ่ายค่าทำขวัญให้กับพี่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความรักต่อกัน ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายไปบอกพ่อแม่หรือเครือญาติมาติดต่อสู่ขอตามประเพณีต่อไป
การเลือกคู่ครอง (หล่อเอ๊าโกว่): เมื่อเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว อายุประมาณ 15 ปีขึ้นไป ในการเลือกคู่ครองนั้น เผ่าเมี่ยนฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายเข้าหาฝ่ายหญิง หนุ่มสาวเมี่ยนมีอิสระในการเลือกคู่ครอง หนุ่มอาจจะเข้าถึงห้องนอนเพียงคืนเดียว หรือไปมาหาสู่อยู่เรื่อยๆ ถ้าทางฝ่ายสาวไม่ขัดข้องก็ย่อมได้เสรี ในการเลือกคู่ของเมี่ยน มีขอบเขตอยู่เพียง 2 กรณีเท่านั้น คือ ควรแต่งกับคนต่างแซ่ หรือบางทีคนแซ่เดียวกัน ถ้าชอบพอกันก็สามารถอนุโรมได้ไม่เข้มงวดมากนัก แต่ที่เข้มงวด คือ ดวงของหนุ่มสาวทั้งสองต้องสมพงษ์กัน โดยทั่วไปแล้วพี่ควรจะแต่งก่อนน้อง หากน้องจะทำการแต่งก่อนพี่ ก็ต้องจ่ายค่าทำขวัญให้กับพี่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความรักต่อกัน ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายไปบอกพ่อแม่หรือเครือญาติมาติดต่อสู่ขอตามประเพณีต่อไป
การสู่ขอ (โท้นิ่นแซง): เมื่อหนุ่มตกลงปลงใจจะแต่งงานกับสาวใดแล้ว ฝ่ายชายจะต้องหาใครไปสืบถามเพื่อ ขอทราบวัน เดือน ปีเกิดของฝ่ายหญิง ถ้าพ่อแม่ฝ่ายหญิงยินยอมบอกก็แสดงว่า พวกเขายอมยกให้ หลังจากนั้นก็จะนำเอาวัน เดือน ปี เกิด ของหนุ่มสาวคู่นั้น ไปให้ผู้ชำนาญเรื่องการผูกดวงดูว่าทั้งคู่มีดวงสมพงศ์กันหรือไม่ ถ้าดวงไม่สมพงศ์กันฝ่ายชายจะไม่มาสู่ขอ พร้อมแจ้งหมายเหตุให้ฝ่ายหญิงทราบ เมื่อดูแล้วถ้าเกิดดวงสมพงศ์กัน พ่อแม่จึงจัดการให้ลูกได้สมปรารถนา เริ่มด้วยการส่งสื่อไปนัดพ่อแม่ฝ่ายสาวว่า ค่ำพรุ่งนี้จะส่งเถ้าแก่มาสู่ขอลูกสาว แล้วพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะต้องจัดข้าวปลาอาหารไว้รับรอง ระหว่างที่ดื่มกินกันนั้น เถ้าแก่ก็จะนำกำไลเงินหนึ่งคู่มาวางไว้บนสำรับ เมื่อเวลาดื่มกินกันเสร็จ สาวเจ้าเข้ามาเก็บถ้วยชาม หากสาวเจ้าตกลงปลงใจกับหนุ่มก็จะเก็บกำไลไว้ หากไม่ชอบก็จะคืนกำไลให้เถ้าแก่ ภายใน 2 วัน เถ้าแก่จะรออยู่ดูให้แน่ใจแล้วว่าสาวเจ้าไม่คืนกำไลแล้วเถ้าแก่จึงนัดวันเจรจา
พิธีแต่งงานใหญ่ (ต่ม ชิ่ง จา): พิธีนี้เป็นพิธีใหญ่ซึ่งจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง คนที่จัดพิธีใหญ่นี้ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีฐานะดี จะใช้เวลาในการทำพิธี 3 คืน 3 วัน ซึ่งจะต้องใช้เวลาเตรียมงานกันเป็นปี คือ ต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ไว้ให้พอกับการเลี้ยงแขก
พิธีแต่งงานเล็ก (ชิ่งจาตอน): พิธีต่างๆ จะเป็นการกินเลี้ยงฉลองอย่างเดียวไม่มีพิธีกรรมอะไรมาก จะใช้เวลาทำพิธีเพียงวันเดียว เจ้าสาวไม่ต้องสวมที่คุมที่มีน้ำหนักมาก และพิธีเล็กนี้ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก จุดสำคัญของการแต่งงานของเมี่ยน คือ ตามที่เจ้าบ่าวตกลงสัญญาจ่ายค่าตัวเจ้าสาวกับพ่อแม่ของเจ้าสาวไว้ เพื่อเป็นการทดแทนที่ได้เลี้ยงดูเจ้าสาวมา และฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องบอกวิญญาณบรรพบุรุษของตนเองยอมรับ และช่วยคุ้มครองเจ้าสาวด้วย ประการสุดท้ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องดื่มเหล้าที่ทำพิธี แล้วร่วมแก้วเดียวกัน การแต่งงานของเมี่ยนนั้นจะต้องทำตามประเพณีทุกขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน และเป็นไปในลักษณะที่ให้เกียรติซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย
ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ (เจี๋ย เซียง เหฮียง)
พิธีฉลองปีใหม่ของเมี่ยนจะจัดเป็นประจำทุกๆ ปี หลังจากปีเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับชนเผ่ากลุ่มอื่นๆ ทั่วไป แต่เนื่องจากเผ่าเมี่ยนใช้วิธีนับวัน เดือน ปี แบบจีน ดังนั้นวันฉลองปีใหม่จึงเริ่มพร้อมกันกับชาวจีน คือ วันตรุษจีน ภาษาเมี่ยนเรียกว่า เจี๋ยฮยั๋ง ก่อนที่จะถึงพิธี เจี๋ยงฮยั๋ง นี้ ชาวบ้านแต่ละครัวเรือน จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นทั้งของใช้ส่วนตัว และของใช้ในครัวเรือนให้เรียบร้อยก่อน เพราะเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว จะมีกฏข้อห้ามหลายอย่างที่เผ่าเมี่ยน ยึดถือและปฏิบัติกันต่อๆ กันมาวันขึ้นปีใหม่นี้ ญาติพี่น้องของแต่ละครอบครัว ซึ่งแต่งงานแยกครอบครัวออกไปอยู่ที่อื่น ก็จะพากันกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ และญาติพี่น้องของตนเอง ซึ่งเป็นการพบปะสังสรรค์ และทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษร่วมกัน (เสียงเมี้ยน) พิธีนี้จะเริ่มวันที่ 30 ซึ่งถือว่าเป็นวันส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ และเป็นการแสดงความขอบคุณแก่วิญญาณ บรรพบุรุษที่ได้คุ้มครองดูแลเรา ในรอบปีที่ผ่านมาด้วยดี หรือบางครอบครัวที่มีการบนบานเอาไว้ก็จะมา ทำพิธีแก้บน และเซ่นไหว้กันในวันนี้
ประเพณีเจี๋ยเจียบเฝย หรือ เชียดหาเจียบเฝย (วันสาร์ทจีน)
ตรงกับวันที่ 14 – 15 เดือน 7 ของจีน วันเชียดหาเจียบเฝยของเมี่ยนจะมี 2 วัน คือ วันที่ 14 หรือเรียกว่า "เจียบเฝย" และวันที่ 15 เรียกว่า "เจียบหือ" ก่อนถึงเชียดหาเจียบเฝย 1 วัน คือวันที่ 13 หรือที่เรียกกันว่า "เจียบฟาม" ชาวบ้านจะเตรียมของใช้สำหรับทำพิธี เช่น กระดาษเงิน กระดาษทอง และหาฟืนมามาเก็บไว้มากๆ เพราะว่าในวันทำพิธีนี้ห้ามไปทำไร่ และเก็บฟืน ส่วนคนที่ไปนอนค้างคืนไนไร่ก็จะทยอยกันเดินทางกลับบ้านในวันนี้ นอกจากนี้ยังทำขนมที่เรียกกันว่า "เจียบเฝยยั้ว"
วันที่ 14 หรือ เจียบเฝยนี้ เชื่อกันว่าเป็นวันของคน ชาวบ้านจะไม่ไปไร่เข้าป่าล่าสัตว์ ไม่ทำงานใดๆ วันนี้จะมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ เพราะเป็นที่เทพเจ้า เทพธิดา วิญญาณบรรพบุรุษเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ มีการทำบุญกันทุกบ้านเรือน มีการขออภัยโทษแก่ดวงวิญญาณต่างๆ ให้เป็นอิสระ ลูกหลานจะต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เผากระดาษเงิน กระดาษทองส่งไปให้วิญญาณบรรพบุรุษได้ใช้จ่าย วันที่ 15 วิญญาณบรรพบุรุษจะได้คุ้มครองดูแลลูกหลาน
วันที่ 15 หรือ "เชียดหาเจียบหือ" หรือเรียกอีกอย่างว่า "เมี้ยน ป้าย เหย" เชื่อกันว่าเป็นวันของผีจะมีการปลดปล่อยผีทุกตัวตน เพื่อให้มารับประทานอาหารที่ผู้คนทำพิธีให้ วันนี้ชาวบ้านจะอยู่กับบ้านไม่ให้ออกไปไหน ห้ามคนเข้าออกหมู่บ้าน ห้ามเด็ดใบไม้ใบตองทั้งสิ้น เพราะเชื่อว่าวิญญาณจะใช้ใบไม้ใบตองเหล่านี้ห่อของกลับไปเมืองวิญญาณ จะมีการพูดว่าใบไม้ 1 ใบ เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ 1 ตัว เมี่ยนจึงไม่เก็บใบไม้ต่างๆ ในวันนี้ ในวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชาวเมี่ยนไม่ไปทำไร่นา เพราะดวงวิญญาณต่างๆ ออกเดินทางกลับบ้านเมืองของตน เมี่ยนเชื่อว่าถ้าออกไปไหนมาไหนละก็อาจจะชนถูก และเหยียบถูกโดยที่เราไม่รู้ และอาจทำให้เราป่วยเมื่อเราไปไปทำถูกดวงวิญญาณเหล่านั้นวันที่ 16 ก็จะเริ่มปฏิบัติงานตามปกติ เพราะเชื่อว่าวิญญาณที่ถูกปล่อยมานั้น ถูกเรียกกลับไปหมดแล้ว ดวงวิญญาณไม่สามารถมารบกวนเราได้แล้ว ดวงวิญญาณจะถูกเรียกกลับแล้ว ก็ต้องไปอยู่ตามที่ต่างๆ ที่ตนอยู่ เมี่ยนจะทำพิธีเจี๋ยเจียบเฝยอย่างนี้เป็นประจำทุกปี เพื่อให้ดวงวิญญาณได้มารับอาหารไปกินใช้ในแต่ละปี และให้ดวงวิญญาณมาช่วยคุ้มครองครอบครัว ตลอดกระทั้งหมู่บ้านของชาวเมี่ยน
ประเพณีการบวช (กว๋าตัง)
คำว่า "กว๋า ตัง" ในภาษาเมี่ยนมีความหมายว่าแขวนตะเกียง ซึ่งเป็นการทำบุญเพื่อให้เกิดความสว่างขึ้น และเมี่ยนเองก็จะถือว่าผู้ที่ผ่านพิธีนี้แล้ว จะมีตะเกียง 3 ดวง พิธีนี้ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า เป็นพิธีที่ทำเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ถือเป็นการสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง ทำบุญอุทิศให้บรรพบุรุษ และเป็นผู้สืบสกุล ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า พิธีกรรมนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีเพียงแต่คำบอกเล่าจากการสันนิษฐานของผู้อาวุโสว่า พิธีกว๋าตัง นี้มีมานานมากแล้ว คงจะเป็น "ฟ่ามชิงฮู่ง" เป็นผู้บัญญัติให้ชาวเมี่ยนทำพิธีนี้ เมื่อประมาณ 2361 ปีมาแล้ว เพราะ ฟ่ามชิงฮู่ง เป็นผู้สร้างโลกวิญญาณและโลกของคน ฟ่ามชิงฮู่ง จึงบอกให้ทำพิธีกว่าตัง เพื่อช่วยเหลือคนดีที่ตายไปให้ได้ขึ้นสวรรค์ หรือไปอยู่กับบรรพบุรุษของตนเอง จะได้ไม่ตกลงไปในนรกที่ยากลำบาก พิธีนี้เป็นพิธีบวชพิธีแรกซึ่งจะทำให้กับผู้ชายเมี่ยน โดยไม่จำกัดอายุ ในประเพณีของเมี่ยน โดยเฉพาะผู้ชายถ้าจะเป็นคนที่สมบูรณ์จะต้องผ่านพิธีบวชก่อน
พิธีกว๋าตัง หมายถึงพิธีแขวนตะเกียง 3 ดวง เป็นพิธีที่สำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นการสืบทอดตระกูล และเป็นการทำบุญให้บรรพบุรุษด้วย ในการประกอบพิธีกว๋าตังนี้ จะต้องนำภาพเทพพระเจ้าทั้งหมดมาแขวน เพื่อเป็นสักขีพยานว่าบุคคลเหล่านี้ว่าได้ทำบุญแล้ว และจะได้ขึ้นสวรรค์เมื่อเสียชีวิตไป จุดสำคัญของพิธีนี้คือ การถ่ายทอดอำนาจบุญบารมีของอาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรม ซึ่งในขณะทำพิธีนี้จะมีฐานะเป็นอาจารย์ (ไซเตี๋ย) ของผู้เข้าร่วมพิธีอีกฐานะหนึ่ง และผู้ผ่านพิธีนี้จะต้องเรียกผู้ที่ถ่ายทอดบุญบารมีนี้ว่า อาจารย์ตลอดไป ผู้เป็นอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเสมอไป แต่ต้องผ่านการทำพิธีกว๋าตัง หรือพิธีบวชขั้นสูงสุด"โต่ว ไซ" ก่อน
เมื่อผ่านพิธีนี้แล้ว จะทำให้เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ เขาจะได้รับชื่อใหม่ ชื่อนี้จะปรากฏรวมอยู่รวมกับทำเนียบวิญาณของบรรพบุรุษของเขา ซึ่งเป็นการสืบต่อตระกุลมิให้หมดไป เมื่อเขาเสียชีวิตเขาสามารถไปอยู่กับบรรพบุรุษที่ (ย่าง เจียว ต่ง) และอาจจะหลงไปอยู่ในที่ต่ำซึ่งเป็นที่ที่ไม่ดีหรือนรกก็ได้ สำหรับชายที่แต่งงานแล้วเวลาทำพิธีบวช ภรรยาจะเข้าร่วมพิธีด้วย โดยจะอยู่ด้านหลังของสามี และการทำพิธีสามารถทำได้พร้อมๆ กันหลายๆ คนก็ได้ แต่คนที่ทำนั้นจะต้องเป็นญาติพี่น้องกัน หรือนับถือบรรพบุรุษเดียวกัน เมี่ยนเรียกว่า(จ่วง เมี้ยน) หลังจากผ่านพิธีนี้แล้ว ผู้ทำพิธีจะได้รับชื่อผู้ใหญ่ และชื่อที่ใช้เวลาทำพิธีด้วยเรียกว่า (ฝะ บั๋ว) ในการเข้าพิธีบวชนี้ในหมู่บ้านเครือญาติ จะมีการตรวจสอบหลักฐานของแต่ละคนจาก "นิ่นแซงเป้น" คือ บันทึกวันเดือนปีเกิดหรือสูติบัตร (เอ้โต้ว) คือ การปฏิบัติต่อกันมา และ "จาฟินตาน" คือ บันทึกรายชื่อของบรรพบุรุษที่แต่ละคนถือครองอยู่
ศาสนา ความเชื่อ และพิธีกรรม
ชาวเมี่ยนส่วนใหญ่จะนับถือเทพยดา วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณทั่วไป ทุกบ้านจะมีหิ้งบูชา เป็นที่สิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษ และมีความเชื่อในเรื่องที่อยู่เหนือธรรมชาติ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนการนับวันเดือนปี สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน โชคลางและการทำนาย พิธีกรรมที่สำคัญ จะมีพิธีกรรมการตั้งครรภ์ พิธีกรรมการเกิด การสู่ขวัญ การบวช การแต่งงาน พิธีงานศพ ขึ้นปีใหม่ และวันกรรม วันเจี๋ย เจียบ เฝย (สาร์ทจีน) พิธีซิบตะปูงเมี้ยน เมี่ยนได้เริ่มนำเอาลัทธิเต๋ามาเป็นแนวทางในการปฎิบัติเมื่อครั้งอพยพทางเรือในช่วงคริสศตวรรษที่ 13 ความเชื่อของเมี่ยนจึงผสมผสานกันระหว่างความเชื่อเรื่องเทพ และวิญญาณ ชึ่งมีความคิดพื้นฐานในการยอมรับเรื่องอำนาจของเทพ เจ้าป่าเจ้าเขาหรือสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นหลัก ชาวเมี่ยนเชื่อว่า ในชีวิตคนจะมีขวัญ (เวิ่น) ซ่อนอยู่ในสวนต่างๆ ของร่างกายซึ่งมีทั้งหมด 11 แห่ง คือที่ เส้นผม, ศีรษะ, ตา, หู, จมูก, ปาก, คอ, ขา, แขน, อก, ท้อง, และเท้าเมื่อเสียชีวิตไปขวัญ จะเปลี่ยนเป็นวิญญาณหรือผี (เมี้ยน) และจะสิงสถิตย์อยู่ในธรรมชาติ เช่น ในภูเขา แม่น้ำ หรือทั่วไป ซึ่งปกติอำนาจของวิญญาณหรือของเหนือธรรมชาติ ในโลกจะมีความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์ แต่ถ้าไปทำให้ผีี้โกรธแล้วผี จะทำให้เกิดความทุกข์ทรมานและมีความเสียหายได้ เมี่ยนมีทัศนคติว่าความมั่นคง และความปลอดภัยของมนุษย์ทั้ง ขณะดำรงชีวิตอยู่และหลังจากตายไปแล้วล้วนจะขึ้นอยู่กับวิญญาณหรือภูตผีเพราะเมี่ยน เชื่อว่ามนุษย์อยู่ในความคุ้ม ครองของวิญญาณหรือภูตผี การสร้างความสัมพันธหรือติดต่อกับวิญญาณภูตผีกระทำได้โดยผ่านพิธีกรรมเท่านั้น
ความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่
ความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่หรือสุสานถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเมี่ยนมาก เช่น สุสานหรือหลุมฝังศพของเมี่ยน ก่อนที่จะทำการไปฝังกระดูก หรือศพจะมีการทำพิธีถามดวง วิญญาณของผู้ตาย และเจ้าที่ก่อนว่าจะพักอยู่ไหนโดยอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะใช้ไข่ไก่ดิบ 1 ฟอง แล้วโยนไข่ไปเรื่อยๆ จนกว่าไข่จะแตก ถ้าไข่แตกที่ไหนก็แสดงว่าทำเลตรงนั้นดี และสามารถฝังกระดูกได้ แต่ถ้าไข่ไม่แตกก็ต้องโยนต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าไข่จะแตก พื้นที่ฝังกระดูกหรือบริเวณสุสานของบรรพบุรุษ จะต้องทำพิธีและไปดูแลสุสานให้ดี หากทำเลที่ตั้งสุสานของบรรพบุรุษไม่ดีหรือที่เมี่ยนเรียกว่า ออน ต้อย ลูกหลานก็ไม่เจริญ
ความเชื่อเกี่ยวกับป่าเขาต่าง ๆ
เมี่ยนเชื่อว่าดอยทุกดอย ป่าทุกป่าจะมีเจ้าป่าเจ้าเขาและวิญญาณอยู่จำนวนมาก เมื่อเดินทางเข้าไปในป่าอาจชนใส่ เหยียบใส่ หรือทำผิดโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้ดวงวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขาเหล่านี้ได้รับความเดือดร้อน และอาจจะจับเอาขวัญของเราไปหรือทำให้เราเจ็บป่วยได้ ดังนั้นจึงจะต้องทำพิธีกรรมขอขมาต่อดวงวิญญาณเจ้าป่าเขา
ความเชื่อเกี่ยวกับหนองน้ำ
เมี่ยนเชื่อว่าในหนองน้ำจะมีผีหรือดวงวิญญาณสิงสถิตย์อยู่มากมาย เช่น จ่าง ต๋อง ซุ้ย, เยี่ยน ฟิว เมี้ยน ถ้าเกิดหนองน้ำแห่งไหนมี จ่าง เมี้ยน อาศัยอยู่ หากคนไปรบกวน หรือทำผิดต่อ จ่าง เมี้ยน อาจจะทำให้ไม่สบายต้องทำพิธีถาม โบว้ กวา (เสี่ยงทาย) ว่าได้ไปรบกวนอะไร พอรู้แล้วก็จะต้องทำพิธีขอขมา
ความเชื่อเกี่ยวกับแม่น้ำ
ในแม่น้ำเมี่ยนมีความเชื่อว่ามีดวงวิญาณ อื่อ ฮอย ฮู่ง หรือ ซุ้ย โก้ว เมี้ยน อาศัยอยู่ มีความเชื่อว่าห้ามผู้หญิงในช่วงอยู่ไฟเอาเสื้อผ้าไปซัก อาบน้ำ หรือข้ามแม่น้ำ เพราะถือว่าผู้หญิงในช่วงอยู่ไฟร่างกายยังไม่สะอาด หากมีความจำเป็นต้องข้ามแม่น้ำก็ต้องเอากระดาษผี (เจ่ย ก๋อง) มา เ่ผาเพื่อเป็นการบอกกล่าว และขอขมาต่อเทพที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำก่อนจึงจะข้ามน้ำได้
ความเชื่อเกี่ยวกับจอมปลวก
เมี่ยนเชื่อว่าในจอมปลวกนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยอยู่ในจอมปลวกนี้เป็นสิ่งที่คุ้มครองให้เราเดินทางปลอดภัย เมื่อเดินทางผ่านไปจะต้องเก็บเอาใบไม้ใบหญ้า มาวางไว้บนจอมปลวก เพราะถือว่าเป็นการมุงหลังคาให้กับจอมปลวกเพื่อไม่ให้จอมปลวก โดนแดดโดนฝน การที่จะทราบได้ว่าปลวกอันใดที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ จะสังเกตได้ว่า หลังจากที่คนเอาใบไม้ใบหญ้าไปวางไว้แล้ว หากจอมปลวกนั้นยังมีการสร้างดินทับใบไม้ใบหญ้าอยู่ละก็แสดงว่าที่นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์จริง เวลาเดินทางผ่านต้องระมัดระวังห้ามปัสสาวะใกล้ๆ กับจอมปลวกหรือบางคนดวงไม่ดีแค่เดินผ่าน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ไม่สบายต้องทำพิธีขอขมา ความเชื่อเกี่ยวกับนรก-สวรรค์ เมี่ยนเชื่อว่าในขณะป็นมนุษย์อยู่นั้นหากทำแต่เรื่องที่ไม่ดี เมื่อเสียชีวิตวิญญาณจะตกนรกและวิญญาณจะไม่ได้ไปเกิดใหม่ เมื่อมีญาติเสียชีวิตหลังจาก งานศพผ่านไปไม่นาน ลูกหลานก็จะมีการทำพิธีเชิญวิญญาณคนตายมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง อยู่สุขสบายหรือไม่ หากวิญญาณตกนรกหรืออยู่ ลำบากก็จะบอกให้ลูกหลานทราบ เมื่อรู้ว่าวิญญาณบรรพบุรุษตกนรกลูกหลานต้องทำพิธีเอาวิญญาณขึ้นจากนรก ทำพิธีนี้เรียก เซียว เต่ย หยัวน การขึ้นสวรรค์เชื่อว่าคนที่จะขึ้นสวรรค์ได้นั้น คือ คนที่ผ่านพิธีบวชใหญ่ (โต่ว ไซ) เพราะถือว่าเป็นคนที่มีบุญบารมี และภรรยาจะได้บุญบารมีจากสามี ซึ่งก็สามารถขึ้นสวรรค์้ได้
พิธีส่งผีป่า
เรียกว่า พิธีฝูงเยี่ยนฟิวเมี้ยน หมายถึง การส่งผีป่า พิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมของเมี่ยนที่มีมาแต่ดั้งเดิมแล้ว และได้สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมี่ยนเชื่อว่าพิธีกรรมนี้เป็นอีกพิธีกรรมหนึ่งที่ช่วยในการที่คนๆ หนึ่งไปทำผิดต่อผีป่าหรือลบหลู่โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเมื่อผีป่าเกิดความโกรธจึงทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา และจะไม่สามารถรักษาได้ โดยทั่วไปจึงต้องทำพิธีเพื่อขอขมา
การแต่งกาย
ชาวเมี่ยนมีชื่อเสียงในเรื่องการตีเครื่องเงิน ทั้งนี้เพราะเมี่ยนนิยมใช้เครื่องประดับที่เป็นเงินเช่นเดียวกับชาวชนเผ่ากลุ่มอื่นๆ และรูปแบบเครื่องประดับแต่ล่ะชิ้น เป็นงานฝีมือปราณีต เมื่อมีงานประเพณีผู้หญิงเมี่ยนจะประดับเครื่องเงินกันอย่างเต็มที่
การตัดเย็บการปักลายและการใช้สีในการปักลายเครื่องใช้ต่างๆ ทั้งในชีวิตประจำวัน และใช้ในพิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีบวช (กว๋าตัง) และพิธีแต่งงานเช่น ผ้าต้มผาเป็นผ้าคลุมวางทับโครงไว้บนศีรษะของเจ้าสาวในพิธีแต่งงานแบบใหญ่ ฯลฯ แต่ที่เมี่ยนนิยมปักลายมีผ้าห่อเด็กสะพายหลัง [ซองปุ๋ย] และถุงใส่เงิน [ย่านบั่ว] และสิ่งที่เมี่ยนนำมาตกแต่งคือ การถักเส้นด้าย คล้ายดิ้นใช้สำหรับติดปลายชายเสื้อผ้าการใช้ผ้าตัดปะเป็นวิธีการอันเก่าแก่ของเมี่ยนที่ได้ รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนส่วนใหญ่เมี่ยนที่พันหัวแบบหัวแหลม (ก่องเปลวผาน) จะนิยมการตัดปะ ส่วนการใช้พู่ประดับสตรีเมี่ยนทุกกลุ่มจะติดพู่ก้อนกลม สีแดงเป็นแถวยาวและสร้อยลูกปัดติดพู่ห้อย อาจจะใช้ไหมพรมสีแดงจำนวนเส้นคู่ตั้งแต่ 2-8 เส้นติดที่ชายเสื้อสตรีตรงข้างเอว
ชาวเมี่ยนให้ความสำคัญกับการแต่งกายให้เหมาะสมก่อนการทำพิธีกรรม การเย็บปักชุดจึงเป็นเรื่องของหญิงเมี่ยน ซึ่งชุดการเข้าพิธีจะคล้ายกับชุดเทวภาพเต๋า (เมี้ยน) ที่เมี่ยนนำถือ ซึ่งก่อนการเข้าพิธีบวช (ก๋วาตัง) หญิงเมี่ยนจะต้องเตรียมชุดไว้ให้พร้อมก่อนการเข้าพิธีกรรม การปักผ้าชุดของผู้เข้าพิธกรรมีที่มีลวดลายปัก มีผ้าจุ้นและเส้นต้อตาย สีที่ใช้มีสีขาวและสีแดง เป็นส่วนใหญ่นอกจากนี้อาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรมและผู้เข้าพิธีกรรมต้องใช้คือผ้าชนิดต่างๆมาประกอบด้วย
ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย
ประกอบไปด้วยเสื้อตัวสั้นหลวม คอกลมชิ้นหน้าห่ออกอ้อมไปติดกระดุมลูกตุ้มเงินถึงสิบเม็ด เป็นแถวทางด้านขวาของร่างในบางที่อาจนิยม ปักลายดอกที่ผืนผ้าด้วย แล้วสวมกับกางเกงขาก๊วยทั้งเสื้อ และกางเกงตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายทอมือย้อมครามสีน้ำเงิน หรือย้อมดำคนรุ่นเก่ายังสวมเสื้อกำมะหยี่ในงานพิธี แต่ยิ่งอายุมากขึ้นเสื้อของชายเมี่ยนก็จะลดสีสันลงทุกทีจนเรียบสนิท ในวัยชราบุรุษเมี่ยนจะใช้ผ้าโพกศีรษะในงานพิธีเท่านั้น เครื่องแต่งกายเด็ก ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายจะมีการแต่งกายที่คล้ายกับแบบฉบับของการแต่งกายผู้ใหญ่ทั้งหญิง และชาย เพียงแต่เครื่องแต่งกาย ของเด็กจะมีสีสันน้อยกว่าบ้าง เช่น เด็กหญิงอาจจะยังไม่ปักกางเกงให้ เพราะยังไม่สามารถรักษาหรือดูแลให้สะอาดได้ จึงเป็นการสวมกางเกง เด็กธรรมดาทั่วไป ส่วนเด็กชายก็เหมือนผู้ใหญ่ คือ มีเสื้อกับกางเกงและที่ไม่เหมือนคือเด็กชายจะมีหมวกเด็ก ซึ่งทั้งเด็กหญิงและเด็กชายจะมีการปักก็มีลักษณะคล้ายกัน แต่หมวกเด็กผู้ชายจะเย็บด้วยผ้าดำสลับผ้าแดง เป็นเฉกประดับด้วยผ้าตัดเป็นลวดลายขลิบริมด้วยแถบไหมขาวติดปุยไหมพรมแดงบนกลางศีรษะ หรือมีลายเส้นหนึ่งแถวและลายปักหนึ่งแถวสลับกันอย่างละสองแถว สำหรับหมวกเด็กหญิงมีลายปักเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแถว หรือสองแถวและจะมีผ้าดำปักลวดลายประดับไหมพรมสีแดงสดบนกลางศีรษะและข้างหู
ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง
ประกอบไปด้วยกางเกงขาก๊วย ซึ่งเต็มไปด้วยลายปักเสื้อคลุมตัวยาวถึงข้อเท้า มีไหมพรมอยู่รอบคอ ผ้าคาดเอวและผ้าโพกศีรษะ การพันศีรษะต้องพันศีรษะ ด้วยผ้าพื้นเป็นชั้นแรก จากนั้นก็มาพันชั้นนอกทับอีกที การพันชั้นนอกจะใช้ผ้าพันลายปัก ซึ่งมีลักษณะการพันสองแบบคือแบบหัวโต (ก่องจุ้น) และแบบหัวแหลม (ก่องเปลวผาน) และผ้านี้จะพันไว้ตลอดแม้ในเวลานอน หญิงเมี่ยนนุ่งกางเกงขาก๊วยสีดำด้านหน้ากางเกง เป็นลายปักที่ละเอียด และงดงามมาก ลวดลายนี้ใช้เวลาปัก 1 - 5 ปีขึ้นอยู่กับความละเอียดของลวดลาย และเวลาว่างของผู้ปักเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้หญิงเมี่ยนจึงอวดลายปักของตน ด้วยการรวบปลายเสื้อที่ผ่าด้านข้างทั้งสองมามัดด้านหลัง และใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งทำหน้าเป็นเข็มขัดทับเสื้อ และกางเกงอีกรอบหนึ่ง โดยทิ้งชายเสื้อซึ่งปักลวดลายไว้ข้างหลัง การตัดเย็บจะตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายพื้นสีดำ ยกเว้นเสื้อคลุมซึ่งอาจใช้ผ้าทอเครื่องในบางกรณี การปักลายของเมี่ยนตามบางท้องถิ่นอาจเหมือนหรือแตกต่างกันบ้างตามความนิยม
แผนที่ชุมชนเขาค้อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น